ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “โดรนเพื่อการเกษตร” กลายเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะที่มีบทบาทสำคัญต่อการผลิตทางการเกษตร ซึ่งโดรนประเภทดังกล่าวที่ผลิตโดยจีนได้โบยบินสู่มือเกษตรกรในหลายประเทศ ช่วยให้การผลิตมีประสิทธิภาพ ความสะดวก และความปลอดภัยยิ่งขึ้น
โดย นิกร วัย 43 ปี อดีตพนักงานประจำร้านค้าปลอดภาษีในกรุงเทพฯ ผู้ผันตัวมาทำอาชีพเกษตรกรกับภรรยาที่บ้านเกิดอย่างจังหวัดร้อยเอ็ดหลังเผชิญผลกระทบจากโรคระบาดใหญ่ ดัดแปลงทักษะการถ่ายภาพด้วยโดรนที่มีอยู่เดิมสู่การเป็นนักบินโดรนเพื่อฉีดพ่นยาฆ่าแมลง ปุ๋ย และฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต
อีกทั้งภาคใต้ที่จังหวัดชุมพร อรุณ เจ้าของสวนทุเรียนขนาด 30 ไร่ หันมาใช้โดรนฉีดพ่นยาฆ่าแมลงเช่นกัน หลังจากกลุ่มคนงานชาวลาวไม่สามารถกลับมาทำงานได้เพราะเกิดโรคระบาดใหญ่ โดยอรุณเผยว่าการใช้โดรนได้ทั้งประสิทธิภาพในการกำจัดศัตรูพืชและความปลอดภัยต่อสุขภาพ อรุณเล่าว่าเมื่อก่อนคนงานจะเดินฉีดพ่นยาฆ่าแมลงตามต้นไม้ ซึ่งน้ำยาฆ่าแมลงจะตกใส่ตัวคนงานและยังลอยค้างอยู่ในอากาศจนเป็นอันตรายหากสูดดมเข้าร่างกาย แต่โดรนเข้ามาเปลี่ยนแปลงให้การทำงานง่ายขึ้นมาก ทั้งยังประหยัดเงิน ปลอยภัยกว่าเดิม ไม่ต้องเสี่ยงรับสารพิษจากน้ำยาฆ่าแมลง
ทั้งนี้การใช้โดรนเพื่อการเกษตรได้ช่วยประหยัดต้นทุนการปลูกทุเรียนของอรุณอย่างมาก โดยเขาคำนวณให้ฟังว่าปกติการจ้างคนงานฉีดพ่นยาฆ่าแมลงแต่ละครั้งต้องจ่ายค่าจ้าง 6,000 บาท ซึ่งแต่ละปีต้องฉีดอย่างน้อย 50 ครั้ง พอหันมาใช้โดรนเท่ากับประหยัดเงินได้ปีละ 3 แสนบาท ซึ่งช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุปกรณ์การเกษตรสมัยใหม่เป็นที่ต้องการในไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยหลายปัจจัยอย่างโครงสร้างเกษตรกรเปลี่ยนแปลง ประชากรสูงอายุขยายตัว และต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้น ทำให้การเข้ามาของโดรนเพื่อการเกษตรจากจีนช่วยเร่งพัฒนาการเกษตรสมัยใหม่ของไทย
ด้านเฉินเทา ผู้อำนวยการฝ่ายขายระดับโลกของแผนกการเกษตรดีเจไอ กล่าวว่าโดรนของดีเจไอเข้าสู่ตลาดไทยในปี 2016 และปรับตัวให้เข้ากับลักษณะการใช้งานในท้องถิ่นจนมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยยอดจำหน่ายพุ่งขึ้นเท่าตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2019 และคาดว่ามีแนวโน้มเติบโตขึ้นอีกในอนาคต